ถึงต่างเมืองต่างแคว้น.......ต่างร้อยรวมใจ.. ฯ
ณ เนินกว้างทางไหนก็ไม้ดอก
ที่ผลิออกอวดชูเต็มภูเขา
แดดเช้าฉายไม้ช่อจึงก่อเงา
สายลมเบาโบกคว้างอยู่กลางดิน
เขาเงยหน้าตาหลับสดับเสียง
แม้แผ่วเพียงลมพัดสัมผัสหิน
แม้เสียงปีกกำดัดนกหัดบิน
และได้ยินคำบอกของหมอกโปรย
ภารกิจอยู่ยังอีกฝั่งฟาก
เธออาจฝากข่าวไปหากไห้โหย
ลมวสันต์กรรโชกจะโบกโบย
เขารู้โดยยินแค่กระแสลม
แม้มิใช่มนุษย์คนสุดท้าย
เขายอมตายไม่พร้อมจะยอมล้ม
มีความฝันวันตื่นไว้ชื่นชม
ไม่ยอมก้มศีรษะต่อชะตา
ในท้องน้ำค่ำไหนคงไม่ต่าง
ทุกเดินทางคำตอบคือขอบฟ้า
คงมีเรื่องเล่าฝากจากปากกา
จะกลับมาสวมกอดเมื่อจอดเรือ
..จงเข้มแข็งเพื่อฉันอย่าหันหลัง
หากเธอยังเชื่อมั่นเหมือนฉันเชื่อ
หวั่นศรัทธาถอยห่างจนจางเจือ
อย่าน้อยเนื้อต่ำใจยามไกลจร
ถ้าใจน้อยบ่อยครั้งจะฝังราก
จนลึกมากเกินหยั่งหรือรั้งถอน
ถ้าคิดถึงทุกคราวก่อนเข้านอน
ก็ยากคลอนใจคลายให้หน่ายกัน
แหวนดอกไม้วงน้อยดูด้อยค่า
สวมเถิดถ้าวันหนึ่งคิดถึงฉัน
อาจเก็บไว้ใส่ตลับคอยนับวัน
อย่าปล่อยมันทิ้งขว้างลงกลางทราย
แหวนที่มือหยาบกร้านฉันสานจีบ
ทุกก้านกลีบมาลีมีความหมาย
มีสุขทุกข์เจ็บปวดเป็นลวดลาย
ขมวดปลายเป็นขดแทนอดทน
หวังหนาวหน้าฝ่าคลื่นมายืนคู่
ฝ่าฤดูมรสุมและกลุ่มฝน
ผ่านวันล่วงเลยล่องเราสองคน
คงข้ามพ้นความเหงาแห่งเยาว์วัย
จะเรียนรู้ใจกันเมื่อวันห่าง
ระยะทางเปลี่ยนแปรเราแค่ไหน
ฉันจะยังคงรอเธอก่อไฟ
โปรดอย่าให้ไฟสรวงนั้นร่วงลง
ทะเลค่ำน้ำเค็มไร้เข็มทิศ
เมื่อมืดมิดเรือน้อยคงลอยหลง
ถ้าแสงสรวงดวงนั้นยังมั่นคง
ก็โปรดจงส่องสว่างนำทางเรือ
ฉันจะรอดาวรุ้งจนรุ่งฟ้า
นำนาวาเดินทางด้วยหางเสือ
หวั่นเขม่าเร้ารุมจนคลุมเครือ
อาจเป็นเหยื่อมัจฉาให้ปลากิน
ฉันจะใช้การกระทำแทนคำพูด
บทพิสูจน์ชายชาญคืองานหิน
เมื่อภาระผ่านพ้นไร้มลทิน
นกขมิ้นอาภัพจะกลับรัง
.
........................................
แล้วเรือลำน้อยน้อยก็ลอยล่อง
สู่ห้วงท้องธารพรากไปจากฝั่ง
เธอยืนมองท้องน้ำตามลำพัง
ก่อนจะหลั่งน้ำตาอย่างล้าแรง
จึงจับแหวนดอกไม้ที่ไร้ค่า
เคยสัญญากับเขาจะเข้มแข็ง
กลับผิดคำสัญญาสองตาแดง
กลายเป็นแอ่งหยดน้ำแทนคำลา
เพียงหวังการเดินทางใช่ลางร้าย
ยังคาดหมายพบกันในวันหน้า
แลเรือน้อยลอยลับไปกับตา
ขณะฟ้าจรดน้ำเริ่มค่ำลง....
กลอนครู
@@@@@@@@@@@
------กลับบ้าน------(ฉบับแก้ไข)
๏ รถอีแต๋น..แกนผุ..บุโรทั่ง
รอบตัวถัง..บังไว้..ด้วยไม้ฝา
ผ้าใบขึง..ตรึงรั้ง..เป็นหลังคา
ไม้มะค่า..มาขัด..ดัดเป็นโครง
๏ นั่งจากเช้า..เข้าสาย..ยันบ่ายคล้อย
เห็นต้นไม้..ใหญ่น้อย..จิตพลอยโปร่ง
เถาวัลย์คละ..ประปราย..ระยายโยง
สงบเงียบ..เรียบโล่ง..ถึงโค้งฟ้า
๏ ทางลูกรัง..ทั้งแห้ง..และแดงจัด
เลื้อยเลาะลัด..ตัดทาง..ไปข้างหน้า
ที่คอยรอ..ก็พร่าง..กระจ่างตา
ถิ่นที่พราก..จากลา..มาแสนนาน
...................................................
๏ อีแต๋นเก่า..เพลา,แหนบ..ที่แทบหลุด
ก็มาหยุด..สุดทาง..ที่ข้างบ้าน
ขนของฝาก..มากล้น..อย่างลนลาน
รีบเดินผ่าน..ลานกว้าง..เป็นอย่างไว
๏ สาดตามอง..จ้องไป..อย่างใจจ่อ
น้ำตาคลอ..พอแล..บนแคร่ไผ่
ภาพพ่อตอน..นอนหลับ..ช่างจับใจ
มือแม่ปัด..กวัดไกว่..คอยไล่ยุง
๏ ก้มกายลง..ตรงเข้า..กราบเท้าท่าน
แทนทุกคำ..พร่ำขาน..หนุ่มบ้านทุ่ง
ทักพี่น้อง..ผองน้า..อา,ป้า,ลุง
กลับจากกรุง..มุ่งมา..บ้านนาเรา
......................................................
๏ หอมไอดิน..กลิ่นหญ้า..เวลาพลบ
ตะวันหลบ..ดวงสู่..หลังภูเขา
ภาพที่ยัง..ฝังใจ..ครั้งวัยเยาว์
ทยอยเข้า..มาเยือน..เตือนความจำ
๏ “เคยถือเบ็ด..คู่กาย..สะพายข้อง
ไปยังหนอง..คลองตื้น..แต่ชื่นฉ่ำ
ได้ปลามาก..หลากแท้..ให้แม่ทำ
ทั้งแกงส้ม..ต้มยำ..อย่างสำราญ
๏ ปั้นดินไว้..ใส่พก..ยิงนกเอี้ยง
นั่งเฝ้าเถียง..เลี้ยงควาย..ท้ายหมู่บ้าน
นอนนับดาว..พราวฟ้า..ราตรีกาล
แสนชื่นบาน..บ้านป่า..เมื่อครานั้น”
.....................................................
๏ หากไม่ท้อ..พอเพียง..จะเลี้ยงปาก
แต่จำพราก..จากไป..เพราะไฟฝัน
เพื่อครอบครัว..ทั่วหน้า..จึงฝ่าฟัน
เพียงหมายมั่น..วัน”สุข”..เพื่อทุกคน
๏ เจ็ดวันลา..มาพัก..สุขนักเจ้า
วันที่เรา..เฝ้าคอย..กว่าร้อยหน
เมื่อได้พบ..สบผอง..พี่น้องตน
ช่างระรื่น..ชื่นกมล..ใจคนคอย
๏ ครบวันลา..มาพัก..เศร้านักจิต
เหมือนชีวิต..ติดค้าง..เกินร้างถอย
พรุ่งนี้จำ..อำลา..บ้านป่าดอย
ใจก็พลอย..หงอยตรม..จนซมซาน
..........................................................
๏ รถอีแต๋น..แสนคร่ำ..สีดำด่าง
ก็ค่อยค่อย..ถอยห่าง..จากข้างบ้าน
หนุ่มบ้านนา..ลาลับ..กลับทำงาน
สร้างตำนาน..สานวัน..ที่ฝันรอ....๛
@@@@@@@@@@
กี่ห้วงกาล..ผ่านไป..มิไหวหวั่น
ความสัมพันธ์..นั้นแน่น..ดุจแผ่นผา
จะคำนึง..ถึงกัน..ขอสัญญา
มิตรภาพ..ตราบหล้า..ฟ้ามลาย
แม้ต่างตัว..หัวใจ..กลับไม่ต่าง
มิแรมร้าง..จางจิต..มิตรสหาย
ไม่ลืมเลือน..เพื่อนกัน..ตราบวันตาย
คล้องเป็นสาย..สัมพันธ์..นิรันดร
@@@@@@@@@@@
ความคิดเห็น